บุกรวบอดีตเลขานายกเทศมนตรีฯและภารโรงโรงเรียนดังยึดยาบ้าพร้อมอาวุธปืน
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านได้เดินทางมาร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอนากลาง ว่ามีนักการภารโรงโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีพฤติกรรมเสพยาบ้า และมีอาวุธปืน
สร้างความหวาดระแวงให้กับผู้ปกครองนักเรียนที่ได้นำบุตรหลานมาเรียนที่โรงเรียนดังกล่าว จากนั้นนายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอนากลาง พร้อมด้วยชุดปฎิบัติพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอนากลาง ได้รุดไปตรวจสอบที่โรงเรียนตามที่ได้รับแจ้ง และพบนายเอ (นามสมมุติ) อายุ 55 ปี มีตำแหน่งเป็นนักการภารโรง โดยให้การรับสารภาพว่าตนเองพึ่งเสพยาบ้ามา และเสพยาบ้าอยู่เป็นประจำทุกวันวันละ 4-5 เม็ด ตรวจค้นภายในตัวพบยาบ้าซุกซ่อนอีกจำนวน 5 เม็ด ตรวจค้นบ้านพักพบอาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์แขวนอยู่ที่ฝาผนังบ้าน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน และอุปกรณ์การเสพ โดยได้แจ้งว่าไปรับยาบ้ามาจากอดีตเลขานายกเทศมนตรีเทศบาลแห่งหนึ่งในอำเภอนากลาง
เจ้าหน้าที่จึงได้ขยายผลไปบ้านอดีตเลขานายกเทศมนตรีคนดังกล่าว โดยมีนายเอ นักการภารโรง เป็นคนพาไปเมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบนายบี (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี รับว่าตนเองเคยดำรงตำแหน่งเป็นเลขานายกเทศมนตรีเทศบาลแห่งนึ่งในอำเภอนากลาง และมีท่าทางพิรุธ พยายามที่จะนำกระเป๋าสะพายข้างที่สะพายติดตัวไปซุกซ่อน ตรวจค้นพบยาบ้าบรรจุในถุงพลาสติกสีชมพูจำนวน 1 ถุง และยาบ้าบรรจุในถุงพลาสติกใสจำนวน 6 ถุง ซุกซ่อนในกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาล จำนวน 181 เม็ด โดยนายบี อดีตเลขานายกเทศมนตรีฯ ให้การรับสารภาพว่า ยาบ้าที่พบเป็นของตนเองจริง โดยรับซื้อมาจากชายไม่ทราบชื่อ โดยจะนำยาบ้า ที่สั่งมาวางไว้ที่ริมถนน ตนเองสุขภาพไม่ค่อยดีเป็นโรคเบาหวาน ถ้าได้เสพยาบ้าแล้วจะรู้สึกสบายตัว และไม่เจ็บแผล โดยยาบ้าจะซื้อมาเก็บไว้เสพเองไม่ได้จำหน่าย แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ
จากนั้นได้แจ้งข้อกล่าวหานายเอ(นามสมมุติ) นักการภารโรงว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ,มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครอง ,มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ส่วนนายบี(นามสมมุติ)อดีตเลขานายกเทศมนตรีฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ,มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นากลาง ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.
ภาพ/ข่าวและเนื้อหานี้ เพื่อกิจการสื่อมวลชน เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่องานประชาสัมพันธ์ “ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”